สุขภาพจิตในยุคดิจิทัล : ดาบสองคมแห่งโลกออนไลน์
ผู้เรียบเรียง
ดวงพร อรัญญพงษ์ไพศาล
บรรณารักษ์ชำนาญการ ฝ่ายบริการช
สำนักหอสมุด มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ในยุคที่เทคโนโลยีดิจิทัลมีบทบาทในทุกด้านของชีวิตประจำวัน การเกิดขึ้นของสมาร์ทโฟน โซเชียลมีเดีย และอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงทำให้โลกออนไลน์
กลายเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินชีวิตประจำวันทั้งในด้านการศึกษา การทำงาน การติดต่อสื่อสาร และการพักผ่อนหย่อนใจ โดยผู้คนสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารและ
เชื่อมต่อกับผู้อื่นได้อย่างรวดเร็วผ่านอุปกรณ์สื่อสารต่างๆ แต่ในขณะที่เทคโนโลยีนำมาซึ่งความสะดวกสบายและโอกาสมากมาย ก็ยังส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตของ
ผู้คนในวงกว้างอีกด้วย สุขภาพจิตเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิต หากเรามีสุขภาพจิตที่ดีจะสามารถจัดการกับความเครียด ความท้าทายต่างๆ และสร้างความ
สัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่นได้ ในทางกลับกันหากสุขภาพจิตเสื่อมถอยจะส่งผลกระทบต่อชีวิตส่วนตัว การทำงาน และความสัมพันธ์กับผู้อื่น ดังนั้นโลกออนไลน์จึงเป็นเหมือน
ดาบสองคมซึ่งมีทั้งคุณประโยชน์และโทษอยู่ในตัวเอง การใช้โลกออนไลน์อย่างไม่ระมัดระวังอาจทำให้เกิดปัญหาสุขภาพจิตหลากหลายรูปแบบ เช่น อาการซึมเศร้า
วิตกกังวล ภาวะเครียดเรื้อรัง และขาดการสื่อสารทางสังคม ดังนั้นการทำความเข้าใจกับปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ควรตระหนักในยุคดิจิทัล
เพื่อทำให้เราสามารถปรับตัวและรับมือกับปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างเหมาะสม
ปัจจัยเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพจิตในโลกดิจิทัล
- การพัฒนาตนเองเพื่อแข่งขันกับหุ่นยนต์ งานหลากหลายประเภทที่มีการปรับเปลี่ยนจากแรงงานมนุษย์เป็นการใช้หุ่นยนต์ และ AI แทน เนื่องจากศักยภาพของ
แรงงานมนุษย์มีอยู่จำกัด และค่าแรงของมนุษย์มีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อยๆ ตามอายุงานและความเชี่ยวชาญเฉพาะบุคคล ในขณะที่หุ่นยนต์ และ AI มีอายุการใช้งาน
ยาวนาน สามารถทำงานหนักได้ 24 ชั่วโมง ค่าใช้จ่ายระยะยาวถูกกว่าและสามารถอัปเดตข้อมูลได้ตลอดเวลา ด้วยเหตุนี้มนุษย์จึงต้องหมั่นพัฒนาตนเองทั้งใน
ด้านความรู้ ทักษะ ความสามารถ โดยเฉพาะความรู้หรือทักษะเฉพาะทางที่หุ่นยนต์ หรือ AI ไม่สามารถแทนที่ได้ เช่น งานด้านจิตวิเคราะห์ จิตวิทยา สังคมศาสตร์
เป็นต้น - ความรู้สึกไม่อยากทำงาน เนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ความมั่นคงทางการเงินเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว ความเหลื่อมล้ำทางฐานะทางสังคม จึงทำให้มนุษย์ต้อง
ทำงานหนักเพื่อหารายได้ให้เพียงพอกับรายจ่ายที่เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้คนวัยทำงานรู้สึกเหนื่อยล้า ท้อแท้ สิ้นหวัง มีความกดดันสูง และมีปัญหาสุขภาพจิตตามมา - โหยหาความสุขในการใช้ชีวิต จากความเครียดในการทำงานหนัก และแบกรับภาระหลายอย่าง ส่งผลให้คนวัยทำงานต่างแสวงหาความสมดุลในชีวิต หากสถานที่
ทำงานไม่ตอบสนองต่อความคาดหวัง ก็จะมีแนวโน้มลาออกจากงานสูง รวมถึงปัญหาที่คนวัยทำงานต้องต่อสู้แย่งงานกับหุ่นยนต์ และ AI ทำให้เกิดความเครียด
ความเสี่ยงต่อการตกงานตามมา - ความมั่นคงทางด้านรายได้และสวัสดิการ ด้วยภาวะทางสังคมและเศรษฐกิจที่มีความเหลื่อมล้ำสูงในปัจจุบัน ส่งผลให้คนวัยทำงานเกิดความกังวลเกี่ยวกับรายได้
และการดำเนินชีวิตประจำวัน ทำให้เกิดความคาดหวังต่อนโยบายของรัฐบาลในการสร้างความมั่นคงทางรายได้ รวมถึงพัฒนาสวัสดิการที่มีคุณภาพ เพื่อลดความ
วิตกกังวลต่อการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วของโลก
ผลกระทบที่ส่งผลต่อสุขภาพจิตเชิงบวก
- การเข้าถึงข้อมูลและความช่วยเหลือ การพัฒนาอย่างรวดเร็วของอินเทอร์เน็ต สมาร์ทโฟน และแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียได้เปลี่ยนแปลงวิถีการใช้ชีวิตของ
ผู้คนอย่างมาก ทำให้เราสามารถเข้าถึงข้อมูลและติดต่อสื่อสารได้ตลอดเวลา ผู้คนสามารถเข้าถึงข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพจิตและบริการให้คำปรึกษาออนไลน์ได้ง่ายขึ้น - บริการทางการแพทย์ออนไลน์ การพบแพทย์ทางไกล (Telemedicine) เพิ่มความสะดวกในการรับบริการทางการแพทย์ โดยไม่ต้องเสียเวลาเดินทาง
- ชุมชนออนไลน์ แพลตฟอร์มออนไลน์สร้างพื้นที่ให้ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพจิตได้แบ่งปันประสบการณ์และให้กำลังใจซึ่งกันและกัน
- แอปพลิเคชันสุขภาพจิต มีการพัฒนาแอปพลิเคชันที่สามารถติดตามและบันทึกข้อมูลสุขภาพ ช่วยในการจัดการความเครียด วิตกกังวล และภาวะซึมเศร้า
- เสริมสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจและสังคม การทำงานทางไกลหรือการตลาดออนไลน์ช่วยสร้างโอกาสใหม่ๆ ทางเศรษฐกิจ
ผลกระทบที่ส่งผลต่อสุขภาพจิตเชิงลบ
- การเสพติดเทคโนโลยี การใช้งานอุปกรณ์ดิจิทัลมากเกินไปในโลกออนไลน์ อาจนำไปสู่ภาวะเสพติดและส่งผลเสียต่อความสัมพันธ์ในชีวิตจริง
- การเปรียบเทียบทางสังคม การเปรียบเทียบตนเองกับผู้อื่นบนโลกโซเชียลมีเดีย อาจนำไปสู่ความรู้สึกไม่พอใจในตนเอง และเกิดภาวะซึมเศร้า
- ข้อมูลจากสื่อดิจิทัลมีปริมาณมาก ทำให้สมองมีการจัดการกับข้อมูลที่มากเกินไปจนส่งผลให้เกิดความเครียดสะสม
- ความเครียดจากการใช้งานต่อเนื่อง การเชื่อมต่อโลกออนไลน์ตลอดเวลา จะส่งผลเสียต่อการพักผ่อนและนอนหลับ
- การขาดการออกกำลังกาย การนั่งทำงานกับคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์เป็นเวลานาน ทำให้ขาดการออกกำลังกาย ส่งผลเสียต่อสุขภาพทางร่างกาย
- การกลั่นแกล้งทางไซเบอร์ พื้นที่ออนไลน์เปิดโอกาสให้เกิดการกลั่นแกล้งและคุกคาม ซึ่งส่งผลร้ายแรงต่อสุขภาพจิต อาจนำมาสู่ภาวะซึมเศร้าได้
- ข้อมูลที่ไม่ปลอดภัยและบิดเบือน การเสพข้อมูลที่ไม่เป็นความจริงหรือขาดความปลอดภัยอาจส่งผลกระทบต่อมุมมองและความเชื่อมั่นในตนเอง
- ความคาดหวังให้ตนเองเป็นที่รู้จัก ต้องการให้ผู้อื่นสนใจและชื่นชม จึงมีพฤติกรรมนำเสนอเรื่องส่วนตัว ความคิดเห็น บนเครือข่ายสังคมออนไลน์ ซึ่งหากไม่ได้
รับความสนใจตามที่คาดหวัง อาจทำให้เกิดความรู้สึกด้อยค่าในตนเอง - ความเป็นส่วนตัว ข้อมูลสุขภาพที่ถูกเก็บไว้ในระบบดิจิทัลมีความเสี่ยงที่จะถูกละเมิด
วิธีดูแลสุขภาพจิตในยุคดิจิทัล
กำหนดตารางเวลาในการใช้งานเทคโนโลยี โดยตั้งเวลาที่ชัดเจนสำหรับการใช้งานโทรศัพท์มือถือหรือคอมพิวเตอร์ การดูโซเชียลมีเดียหรืออินเทอร์เน็ต
ทั้งสำหรับการทำงานและพักผ่อน และหยุดใช้งานเมื่อถึงเวลาที่กำหนด
สร้างกิจวัตรที่มีสุขภาพดี โดยการทำกิจกรรมที่นอกเหนือจากการใช้เทคโนโลยี เช่น การออกกำลังกาย การอ่านหนังสือ การใช้เวลาร่วมกับครอบครัว หรือ
การพบปะเพื่อนฝูง เพื่อสร้างสมดุลในชีวิตประจำวัน
หลีกเลี่ยงการเปรียบเทียบตนเองกับผู้อื่นในโซเชียลมีเดีย เนื่องจากอาจทำให้รู้สึกเครียดและไม่มีความสุข พยายามมองโลกในแง่บวกและรับรู้ถึงคุณค่าของ
ตนเอง
ตั้งค่าแจ้งเตือนจากแอปพลิเคชันต่างๆ ให้น้อยลง การได้รับแจ้งเตือน หรือปิดเสียงแจ้งเตือนในช่วงเวลาที่ต้องการความเงียบสงบ
พักผ่อนอย่างมีสติ โดยการพักสายตาสั้นๆ เป็นระยะๆ ระหว่างการใช้งานอุปกรณ์เทคโนโลยีต่างๆ โดยใช้เวลาเหล่านี้ในการยืดเส้นสาย ขยับร่างกาย หรือฝึกสติ
สมาธิ เพื่อลดความเมื่อยล้าตา และช่วยลดความเครียด และเพิ่มความสงบในจิตใจได้
เข้าร่วมกลุ่มสนับสนุนออนไลน์ที่เป็นประโยชน์ สร้างสรรค์และเพิ่มความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกัน
ขอคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต หากรู้สึกเครียดหรือวิตกกังวลเกินไป อย่าลังเลที่จะขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต หรือคน
ใกล้ตัวที่สามารถให้คำปรึกษาได้
เลือกคอนเทนต์ที่สร้างแรงบันดาลใจ โดยเลือกคอนเทนต์ที่สร้างสรรค์หรือทัศนคติเชิงบวก เพื่อช่วยเติมเต็มอารมณ์และทำให้มีแรงบันดาลใจในแต่ละวัน
รู้จักพักผ่อน เพื่อให้จิตใจได้ผ่อนคลาย ซึ่งการนอนหลับเป็นการพักผ่อนที่ดีที่สุด
แนวทางแก้ไขปัญหาสุขภาพจิตยุคดิจิทัล
- กำหนดเวลาการใช้งานดิจิทัล – วางแผนเวลาในการใช้งานอุปกรณ์ดิจิทัลและโซเชียลมีเดียให้เหมาะสม
- เรียนรู้การจัดการกับอารมณ์ – ใช้เทคนิคการควบคุมอารมณ์และการรู้จักลดความเครียด
- สนับสนุนการเข้าถึงการให้คำปรึกษาทางสุขภาพจิต – ให้ความรู้เรื่องสุขภาพจิตผ่านช่องทางออนไลน์เพื่อเพิ่มความเข้าใจ
- สร้างนิสัยการรับข้อมูลอย่างมีวิจารณญาณ – ฝึกทักษะการคิดวิเคราะห์และประเมินข้อมูลที่ได้รับจากสื่อดิจิทัล
- สร้างสมดุลระหว่างโลกออนไลน์และออฟไลน์ – ให้ความสำคัญกับกิจกรรมและความสัมพันธ์ในโลกความเป็นจริงมากขึ้น
- ใช้เทคโนโลยีอย่างมีสติ - เลือกใช้แอปพลิเคชันและเทคโนโลยีที่ช่วยส่งเสริมสุขภาพจิต
- ให้ความรู้เรื่องการใช้เทคโนโลยีอย่างปลอดภัย – สอนเกี่ยวกับอันตรายและวิธีการป้องกันตนเองในโลกออนไลน์
- กำหนดนโยบายและกฎหมาย - ออกกฎหมายที่คุ้มครองผู้ใช้งานออนไลน์
- สนับสนุนการวิจัย - ให้ทุนสนับสนุนการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับผลกระทบของเทคโนโลยีต่อสุขภาพ
- พัฒนาระบบสาธารณสุข – ปรับปรุงระบบการให้บริการสุขภาพจิตให้รองรับกับความท้าทายในยุคดิจิทัล
- การบูรณาการเทคโนโลยีกับการดูแลสุขภาพจิต - การพัฒนาเทคโนโลยี AI และ VR เพื่อช่วยในการวินิจฉัยและรักษาปัญหาสุขภาพจิตให้มากขึ้น
การใช้เทคโนโลยีและสื่อสังคมออนไลน์มีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวันของเรา ตั้งแต่การเชื่อมโยงผู้คนทั่วโลกไปจนถึงการเข้าถึงข้อมูลที่จำเป็นเกี่ยวกับ
สุขภาพจิต ความสะดวกสบายเหล่านี้ทำให้เราสามารถสื่อสารและแชร์ประสบการณ์ต่างๆ ได้อย่างไม่จำกัด แต่เทคโนโลยีดิจิทัลก็มีความเสี่ยงในการทำให้เกิดความเครียด
วิตกกังวล และภาวะซึมเศร้าได้เช่นกัน ดังนั้นการสร้างความตระหนักรู้และแนวทางจัดการสุขภาพจิตในยุคดิจิทัลนั้นจึงเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้เราสามารถใช้ชีวิตอย่างมี
คุณภาพในโลกที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
แหล่งข้อมูลอ้างอิง
Bambang Riyadi. (2566). 7 กลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพในการสร้างสมดุล. สืบค้นจาก https://kasets.art/Y7Arpl
TruePlookpanya. (2567). วิธีดูแลสุขภาพจิตในยุคดิจิทัล. สืบค้นจาก https://www.trueplookpanya.com/knowledge/content/94404-heamen-hea-
Salisar Rungwalapad. (2567). สุขภาวะดิจิทัล (Digital Wellbeing) : ปรับสมดุลเวลาการใช้หน้าจอ เพื่อสุขภาพที่ดีขึ้นในปี 2024. สืบค้น
จาก https://kasets.art/eeDyNT
Sattawat Veranon. (2567). การดูแลสุขภาพจิตในยุคดิจิทัล. สืบค้นจาก https://today.line.me/th/v2/article/pez1Q89
จันทมา ช่างสลัก. (2567). นักจิตวิทยาเตือน! เตรียมรับ 4 ปัจจัยเสี่ยงสุขภาพจิตในโลกดิจิทัล. สืบค้นจาก
https://www.istrong.co/single-post/4-risk-factors-in-the-digitalworld
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ. (2567). ผลกระทบของเทคโนโลยีดิจิทัลกับสุขภาพและวิถีชีวิตในปัจจุบัน. สืบค้นจาก https://kasets.art/XWZx6e
แหล่งข้อมูลที่เกี่ยวข้อง
Marshall, I. C., Hammer, L. A., Springfield, C. R., & Bonfils, K. A. (2024). Activism in the Digital Age: The Link Between Social Media
Engagement With Black Lives Matter-Relevant Content and Mental Health. Psychological Reports, 127(5), 2220–2244.
https://doi-org.kasetsart.idm.oclc.org/10.1177/00332941221146706
Boothroyd, S., Chou, F., Black, T., & Liu, S. (2024). Youth Mental Health in the Digital Age: Canadian Youth Perspectives on the
Relationship Between Digital Technology and Their Mental Health. Journal of Child & Adolescent Counseling, 10(2), 145–164.
https://doi-org.kasetsart.idm.oclc.org/10.1080/23727810.2024.2363741
Yasmeen, K., Imran, H., & Ahmad, T. (2024). Exploring the Profound Impact of Social Media, Self-Identity and Mental Health in
Today’s Digital Age. Annals of Human and Social Sciences; Vol. 5 No. 3 (2024): July to September; 615-623.
https://doi-org.kasetsart.idm.oclc.org/10.35484/ahss.2024(5-III)54
Li, C., Wang, P., Martin-Moratinos, M., Bella-Fernández, M., & Blasco-Fontecilla, H. (2024). Traditional bullying and cyberbullying in the
digital age and its associated mental health problems in children and adolescents: a meta-analysis. European Child &
Adolescent Psychiatry, 33(9), 2895–2909. https://doi-org.kasetsart.idm.oclc.org/10.1007/s00787-022-02128-x
Fullagar, S., Rich, E., & Francombe-Webb, J. (2017). New Kinds of (Ab)normal?: Public Pedagogies, Affect, and Youth Mental Health in the
Digital Age. Social Sciences (2076-0760), 6(3), 99. https://doi-org.kasetsart.idm.oclc.org/10.3390/socsci6030099
Haryanto, S., Jemmy, Rumbiak, H., Batubara, F. A., & Apriyanti, E. (2024). Evaluation the Impact of Digital Technology on Children’s
Mental Health and Psychological Wellbeing. Al-Hijr: World Psychology, 3(2), 219–232.
https://doi-org.kasetsart.idm.oclc.org/10.55849/wp.v3i2.669
Rea Kaur Gill, Joanne Droney, Gareth Owen, Julia Riley, & Lucy Stephenson. (2024). Digital advance care planning with severe mental
illness: a retrospective observational cohort analysis of the use of an electronic palliative care coordination system. BMC
Palliative Care, 23(1), 1–9. https://doi-org.kasetsart.idm.oclc.org/10.1186/s12904-024-01381-y
Daniel Guinart, Michael Sobolev, Bhagyashree Patil, Megan Walsh, & John M Kane. (2022). A Digital Intervention Using Daily Financial
Incentives to Increase Medication Adherence in Severe Mental Illness: Single-Arm Longitudinal Pilot Study. JMIR Mental Health,
9(10), e37184. https://doi-org.kasetsart.idm.oclc.org/10.2196/37184
Van de Casteele, M., Flamant, N., Ponnet, K., Soenens, B., Van Hees, V., & Vansteenkiste, M. (2024). Adolescents’ mental health in the
social-media era: The role of offline and online need-based experiences. Journal of Adolescence, 96(3), 612–631.
https://doi-org.kasetsart.idm.oclc.org/10.1002/jad.12286
Maltby, J., Rayes, T., Nage, A., Sharif, S., Omar, M., & Nichani, S. (2024). Synthesizing perspectives: Crafting an Interdisciplinary view
of social media’s impact on young people’s mental health. PLoS ONE, 19(7), 1–20.
https://doi-org.kasetsart.idm.oclc.org/10.1371/journal.pone.0307164