กลุ่มคนวัยทำงานที่เป็น ‘เดอะ แบก’ ของครอบครัว (Sandwich Generation)

ผู้เรียบเรียง
ชนารัตน์ บุณยรัตพันธุ์
นักเอกสารสนเทศชำนาญการ ฝ่ายบริการ
สำนักหอสมุด มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

            ในยุคปัจจุบันที่เศรษฐกิจทำให้กลุ่มคนวัยทำงานต้องมีภาระหรือดิ้นรนในการใช้ชีวิตกันมากขึ้น ทั้งเพื่อตอบสนองต่อค่าครองชีพที่สูง และเพื่อให้ชีวิตยังอยู่รอดต่อไปได้นั้น ส่งผลให้เกิด ‘เดอะ แบก’ ของครอบครัว ที่คนยุคนี้ให้คำจำกัดความเรียกกัน เนื่องจากเปรียบเสมือนต้องแบกรับทุกอย่างของครอบครัวไว้ ซึ่งส่วนใหญ่คือกลุ่มคนวัยทำงาน จึงมีลักษณะคล้ายกับขนมปังที่โดนประกบจากทั้งบนและล่าง และกลุ่มคนวัยทำงานเหล่านี้คือไส้ที่อยู่ตรงกลาง จึงเรียกกันว่า Sandwich Generation แต่ปัจจัยที่ทำให้เกิด Sandwich Generation นั้น ไม่ใช่จากเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีผลจากปัจจัยอื่น ๆ อีกที่คนส่วนใหญ่อาจมองไม่เห็น อีกทั้งปัญหาต่าง ๆ เหล่านี้ ได้หล่อหลอมทำให้เกิดภาวะต่าง ๆ มากมาย จึงจำเป็นต้องรู้สาเหตุที่แท้จริง และแนวทางในการเตรียมรับมือ เพื่อให้การใช้ชีวิตเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ที่มา : patlandakeragency.com

           จากงานวิจัยของมหาวิทยาลัยมิชิแกน ประเทศสหรัฐอเมริกา ค้นพบว่า มีประชากร 1 ใน 4 ของประเทศ ที่ต้องประสบกับภาวะ Sandwich Generation หมายถึง เป็นกลุ่มคนที่อยู่ตรงกลาง มีหน้าที่รับผิดชอบดูแลผู้สูงอายุที่มีอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป และเลี้ยงดูผู้ที่มีอายุน้อยกว่า 18 ปี อันเป็นกลุ่มคนที่ไม่สามารถดูแลตัวเองได้ควบคู่กันไป ซึ่งเป็นผลจากการที่สังคมผู้สูงอายุมีจำนวนเพิ่มขึ้นมากกว่าแต่เดิม และประชากรวัยทำงานมีจำนวนเท่าเดิมหรือน้อยลง และยิ่งผู้สูงวัยมีอายุมากกว่า 65 ปีขึ้นไปมาก ๆ ก็ยิ่งส่งผลต่อสุขภาพจิตของผู้ดูแลที่เพิ่มขึ้นตามระยะเวลาการดูแลด้วยเช่นกัน คำกล่าวที่ว่า Sandwich Generation เป็นคนรุ่น ‘เดอะ แบก’ นั้น เนื่องจากคนรุ่นก่อนมีลูกเมื่ออายุยังน้อย จึงทำให้เมื่อพ่อแม่เมื่อมีอายุอยู่ในวัยกลางคน ลูกก็โตเป็นหนุ่มสาวที่สามารถดูแลตัวเองได้บ้างแล้ว ไม่เหมือนเช่นทุกวันนี้ที่คนส่วนใหญ่มีลูกช้า เมื่อมีลูกในขณะที่อายุมากขึ้น กล่าวคือ เป็นวัยทำงาน แต่ลูกยังเล็กมาก และพ่อแม่ก็สูงวัยมากแล้ว เนื่องด้วยอายุที่ห่างกันพอสมควร จนเกิดเป็น 3 Generation ได้นั้น จึงทำให้คนรุ่นตรงกลางต้องแบกรับภาระค่อนข้างหนักที่เรียกว่า ‘เดอะ แบก’
            กลุ่มคนวัยทำงานสมัยนี้ อาจเป็นได้ตั้งแต่อายุ 35 – 55 ปี ซึ่งถือเป็น 30% ของประชากร แตกต่างจากเมื่อก่อนที่ช่วงอายุอยู่ระหว่าง 40 – 50 ปี ที่ถือเป็นเพียง 15% เท่านั้น จะเห็นได้ว่า ปัจจุบันจึงถือว่า 30% ดังกล่าวเป็นกลุ่มใหญ่มาก และผู้สูงวัยที่เมื่อก่อนมีอายุเฉลี่ยอยู่ที่ 70 ปี ส่วนในปัจจุบันเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 84 ปี และหากเทียบกันในเอเชียแล้วนั้น ประเทศไทยถือเป็นประเทศกำลังพัฒนาที่เข้าสู่สังคมผู้สูงวัยมากขึ้น หมายถึงการมีวัยแรงงานค่อนข้างน้อย ต่างจากประเทศญี่ปุ่น เกาหลี ฮ่องกง ที่แม้จะเป็นสังคมสูงวัยเหมือนกัน แต่ประเทศเหล่านั้นพัฒนาไปมากแล้ว ส่วนประเทศอื่น ๆ ในเอเชีย เช่น ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย เวียดนาม อินโดนีเซีย ก็ยังไม่เป็นสังคมผู้สูงวัย เนื่องจากวัยแรงงานยังคงเป็นหนุ่มสาวจำนวนมาก ซึ่งหากเทียบเคียง ประเทศไทยจะคล้ายกับประเทศจีนและสิงคโปร์
           ประเด็นสำคัญคือ สัดส่วนคนทำงานต่อคนสูงวัย จะพบว่า ภายในปี 2040 จะกลายเป็น 2:1 คือวัยทำงาน 2 คน ดูแลผู้สูงอายุ 1 คน ซึ่งค่อนข้างหนักกว่าแต่เดิมที่มีสัดส่วน 4:1 และพบว่ามี 3 ประเด็นที่เป็นความท้าทายสำหรับคนที่เป็น Sandwich Generation ส่งผลให้การใช้ชีวิตยากขึ้นไปอีก ได้แก่
           1) การเติบโตของรายได้น้อยลง กล่าวคือ จากเศรษฐกิจแต่เดิม สามารถเติบโตได้ 7-8% แต่ปัจจุบันลดลงเหลือ 2-3% เท่านั้น ซึ่งหมายถึงรายได้ไม่เพียงพอต่อรายจ่าย ฉะนั้น การจะประสบความสำเร็จจึงเป็นไปได้ยากกว่าในยุคก่อนมาก
           2) ภาระการเลี้ยงดูผู้สูงวัย เนื่องด้วยการที่ผู้สูงวัยมีอายุเฉลี่ยเพิ่มขึ้นจาก 70 ปี เป็น 84 ปี ทำให้ช่วงอายุที่คนวัยทำงานต้องดูแลผู้สูงอายุจึงขยายเพิ่มขึ้นไปอีก ประกอบกับตามสัดส่วนการดูแลที่เหลือเพียง 2:1 ทำให้ภาระค่อนข้างหนักเช่นกัน
           3) ค่าครองชีพสูงขึ้นมากในปัจจุบัน หากเป็นผู้ที่โสด หรือครอบครัวที่ไม่มีภาระต้องดูแลผู้สูงวัยหรือเด็กเล็ก ก็อาจจะดูแลตัวเองได้ดีกว่า ส่วนผู้ที่มีภาระครอบครัว มีลูก และต้องดูแลผู้สูงวัยไปพร้อม ๆ กัน ในยุคที่ค่าครองชีพสูงขึ้นมากเช่นนี้ ภาระค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เพิ่มขึ้นมา ก็ย่อมเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้การใช้ชีวิตยากลำบากมากขึ้นไปอีก
            นอกจากนี้ ยังถือได้ว่าประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ (Aged Society) กล่าวคือ เป็นสังคมที่มีผู้สูงวัยอายุ 65 ปีขึ้นไป ถึงร้อยละ 20 ของประเทศ และคาดการณ์ว่าจะก้าวเข้าสู่ สังคมสูงวัยอย่างเต็มที่ (Super-Aged Society) คือ มีผู้สูงวัยอายุ 65 ปีขึ้นไป จำนวนร้อยละ 20 ขึ้นไป ในปี 2574 ซึ่งส่งผลต่อประชากรกลุ่ม Sandwich Generation ที่เป็นผู้รับบทบาทในการถูกบีบรัดด้วยภาระต่าง ๆ ทั้งการเงิน การงาน และครอบครัว โดยมีจำนวน 3 ชั้น ได้แก่ ชั้นบน คือ พ่อ-แม่ ชั้นกลาง คือ ตัวเอง และชั้นล่าง คือ บุตร-คู่สมรส ทั้งนี้ ลักษณะเด่นของประชากรกลุ่ม “Sandwich Generation” เป็นดังนี้

  • คนวัยทำงาน อายุ 40 – 50 ปี อยู่ในระดับ Middle Management
  • คนที่มีครอบครัว มีภาระในการรับผิดชอบทั้ง “พ่อแม่” “ตัวเอง” “บุตร-คู่สมรส”
  • แบกรับภาระการทำงาน และค่าใช้จ่ายของครอบครัว
  • ใช้เทคโนโลยีในชีวิตประจำวัน
  • ใช้ “Social Network”
  • ชื่นชอบการซื้อสินค้าผ่าน “E-Commerce”
  • ทำธุรกรรมการเงินผ่าน Mobile Banking / Internet Banking
  • แสวงหา “Health & Wealth Protection” เพื่อเตรียมความพร้อมในการสร้างรากฐานที่มั่นคงให้กับชีวิตวัยเกษียณ ทั้งการดูแลสุขภาพ – การเงิน – ที่พักอาศัย
  • จัดสรรรายได้ส่วนหนึ่งนำไปลงทุนเพื่อสุขภาพ
  • มีอำนาจการตัดสินใจซื้อสูง
               ทั้งนี้ ครอบครัวแบ่งเป็น 3 รูปแบบหลัก ๆ ได้แก่ 1) ครัวเรือนอยู่คนเดียว 2) ครัวเรือนเดี่ยวหรือครัวเรือนที่ประกอบด้วยสมาชิกไม่เกิน 2 รุ่น และ 3) ครัวเรือนขยาย ที่มีสมาชิก 3 รุ่นขึ้นไป ซึ่งลักษณะเด่นของ Sandwich Generation ในสังคมไทย 4 รูปแบบ ได้แก่
               1) ครัวเรือนไทยมีลักษณะเป็น Sandwich ร้อยละ 14.0 ในปี 2566 โดยพบว่าเป็นลักษณะ 3 รุ่น ร้อยละ 97.1 มากกว่าลักษณะ 4 รุ่น ร้อยละ 2.9 ในครัวเรือนเดียวกัน ซึ่งมีทั้งรูปแบบหัวหน้าครัวเรือนเป็นผู้สูงอายุ ดูแลลูกและหลาน กับหัวหน้าครัวเรือนที่ดูแลพ่อแม่และลูก
                2) ครัวเรือนไทยมีอัตราการพึ่งพิงสูง แม้จะเป็นวัยแรงงานมากแล้วก็ตาม แต่กลับพบว่า หัวหน้าครัวเรือนกว่าร้อยละ 48.6 เป็นผู้สูงอายุที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป และที่เหลือเป็นวัยแรงงาน โดยอายุเฉลี่ยของหัวหน้าครัวเรือนอยู่ที่ 58.6 ปี
                3) สมาชิกในครัวเรือนส่วนใหญ่เป็นแรงงานนอกระบบ เช่น พนักงานทำความสะอาด รับจ้างทั่วไป ซึ่งหัวหน้าครัวเรือนมักเป็นกลุ่มอาชีพธุรกิจส่วนตัว หรือพนักงานเอกชน ที่ความมั่นคงไม่แน่นอนนัก อีกทั้งเงินออมมีค่อนข้างน้อย ทำให้เมื่อเกษียณอายุ จำเป็นต้องพึ่งพารายได้จากเบี้ยเลี้ยงชีพผู้สูงอายุที่มีเพียงช่องทางเดียวเท่านั้น
                4) ครัวเรือน Sandwich มีสัดส่วนรายจ่ายสูงกว่ารายได้ และยังสูงกว่ากลุ่มคนรูปแบบอื่น ๆ กล่าวคือ พบว่า สัดส่วนของรายจ่ายมีมากกว่าร้อยละ 90.1 ของรายได้ และส่วนใหญ่มีระดับการศึกษาที่ต่ำกว่าระดับประถมศึกษา จึงทำให้โอกาสในการทำงานน้อยและรายได้น้อยตามลงไป ซึ่งกลุ่มคนที่มีระดับการศึกษาจบตั้งแต่อนุปริญญาขึ้นไปมีค่อนข้างน้อย
               กลุ่มวัยกลางคน หรือวัยทำงานต้องประสบกับปัญหาทั้งการดูแลค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน และการบริหารจัดการเรื่องการเงิน หรือทรัพย์สินอื่น ๆ เพื่อเตรียมพร้อมในภายภาคหน้าด้วย ซึ่งสิ่งสำคัญที่หลายคนอาจมองไม่เห็นคือ จริง ๆ แล้วต้องมีเรื่องของการไกล่เกลี่ยความต้องการของคน 2 วัย ที่ค่อนข้างแตกต่างกัน ให้มีความเข้าใจตรงกันได้ด้วย เช่น เรื่องที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์ ที่ผู้สูงวัยมองว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า เนื่องจากราคาจะขึ้นเรื่อย ๆ หรือแม้แต่การฝากเงินออมกับธนาคาร ซึ่งแตกต่างจากคนรุ่นใหม่ที่มองว่าสิ่งเหล่านี้เป็นการลงทุนที่ได้ผลตอบแทนน้อย ล่าช้า ไม่คุ้มค่า จึงมักเน้นการลงทุนรูปแบบอื่นตามกระแสของโลกที่มองว่าทำได้ง่ายกว่า ได้ผลตอบแทนสูง ในเวลาอันรวดเร็ว รวมถึงกิจการต่าง ๆ ที่คนรุ่นหลังส่วนใหญ่มักไม่ค่อยให้ความสนใจสืบต่อกิจการของรุ่นพ่อแม่ หรือผู้สูงวัย แต่ต้องการเป็นอิสระแทน จึงทำให้ส่วนใหญ่กิจการยังคงเป็นผู้สูงวัยดูแลอยู่ ซึ่งผู้สูงวัยที่มีอายุยืนนาน และส่วนใหญ่ไม่มีทายาทสืบสานต่อ จึงต้องรับบทเป็นผู้ดูแลกิจการเองเสียเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งลักษณะเหล่านี้ ก็ถือเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ Sandwich Generation เกิดความเครียดที่ต้องรับภาระบริหารจัดการ ซึ่งอาจจำเป็นต้องพึ่งพาผู้ที่มีประสบการณ์ในการวางแผนหรือบริหารจัดการสินทรัพย์ต่าง ๆ เข้ามาช่วยให้คำแนะนำต่อไป ฉะนั้น กลุ่มคนวัยกลางคน หรือวัยทำงาน จึงถือเป็นกลุ่มคนที่ต้องการในเรื่องสุขภาพเพื่อมาตอบสนองแก้ปัญหาในส่วนของความเครียดนี้เช่นกัน และยังส่งผลไปถึงความต้องการความมั่งคั่ง มั่นคง เพื่อเป็นปัจจัยประกอบในการตัดสินใจต่าง ๆ เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีอำนาจในการตัดสินใจสูง ซึ่งการจะเลือกรับสินค้าหรือบริการใด กลุ่มคนวัยนี้ก็ย่อมเป็นตัวแปรสำคัญในการเลือกให้กับบุคคลอื่น ๆ ภายในครอบครัว

ผลกระทบด้านต่าง ๆ ต่อ Sandwich Generation และการเตรียมรับมือ

           1) ด้านการเงิน พบว่า รายได้สุทธิหลังหักค่าใช้จ่ายทั้งหมด เหลือเพียงร้อยละ 10 เท่านั้น เนื่องจากครัวเรือนประเภทนี้มีอัตราการพึ่งพิงค่อนข้างสูง จึงทำให้มีรายได้สุทธิน้อยกว่าครัวเรือนที่ไม่มีภาระให้ต้องดูแล
               อีกทั้งพบว่า วัยผู้สูงอายุมีจำนวนเพิ่มขึ้น ส่วนวัยแรงงานมีจำนวนลดลง ซึ่งคนที่ทำงานในระบบได้ก็มีไม่มาก และหากเทียบสัดส่วนผู้เสียภาษีจริง ๆ ยิ่งน้อยกว่านั้นมากไปอีก ทำให้ภาครัฐที่ต้องนำเงินจากภาษีไปใช้เป็นสวัสดิการดูแลผู้สูงอายุมีไม่เพียงพอ ผลกระทบจึงอาจตกมายังหัวหน้าครัวเรือน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นวัยทำงานในการต้องรับภาระดูแล โดยในขณะที่วัยทำงานกำลังตั้งตัวได้เพื่อดูแลลูก แต่ผู้สูงอายุก็มีอายุที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เช่นกัน ทำให้รายรับที่หามาได้ ก็ต้องแบ่งมาเป็นรายจ่ายรับผิดชอบทั้ง 2 ทางเช่นนี้ จึงทำให้คนในยุคนี้หารายได้มาเลี้ยงดูครอบครัวได้ยากขึ้น และเป็นภาระที่ค่อนข้างหนักกว่าคนในยุคก่อนหน้า ประกอบกับเศรษฐกิจที่ไม่ดีด้วย
               นอกจากนี้ คนยุคนี้ส่วนใหญ่ไม่ต้องการมีลูก เนื่องจากมองว่าเป็นการเพิ่มภาระค่าใช้จ่าย ซึ่งการจะดูแลลูกคนหนึ่ง ๆ ได้นั้น ต้องมีเงินมากพอสมควรที่จะทำให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี ซึ่งจากงานวิจัยพบว่า ผู้หญิงหนึ่งคนจะต้องการมีลูกเพียง 1.3 คนเท่านั้น ซึ่งหากประชากรลดลง ก็ย่อมส่งผลต่อแรงงานในอนาคตที่ลดลงเช่นกัน และภาษีที่จะเก็บได้น้อยลงไปอีก ทั้งนี้ การวางแผนจึงเป็นสิ่งจำเป็น โดยเฉพาะการเงินที่ควรวางแผนเผื่อการเก็บออมในอนาคตด้วย เนื่องด้วยพบว่า ปัจจุบันคนไทยมีหนี้เฉลี่ย 400,000 บาทต่อคน ซึ่งไม่สามารถหาวิธีบริหารจัดการตัวเองได้ หนี้จึงกลายเป็นภาระขนาดใหญ่พอสมควร
           2) ด้านสุขภาพ พบว่า ครัวเรือน Sandwich Generation มักพบปัญหาสุขภาพต่าง ๆ ได้มากกว่าครัวเรือนที่ไม่มีภาระให้ต้องดูแล ไม่ว่าจะเป็นโรคเบาหวาน ความดัน อ้วนลงพุง ตับแข็ง และโรค NCDs เป็นต้น เนื่องจากต้องใช้เวลาในแต่ละวัน แต่ละสัปดาห์ในการดูแลผู้สูงอายุและเด็กที่ยังไม่สามารถดูแลตัวเองได้ จนไม่มีเวลาดูแลตัวเองในแง่ของการออกกำลังกายหรือทำอาหารเพื่อรับประทานเอง นอกจากนี ยังมีปัญหาภาวะความเครียด ซึมเศร้า วิตกกังวลจากปัญหาต่าง ๆ ดังที่กล่าวมาแล้วได้โดยไม่รู้ตัว
           ในส่วนของแนวทางที่จะเกิดขึ้นเพื่อช่วยลดภาระให้กับครัวเรือน SandwichGeneration เพื่อเป็นการเตรียมรับมือนั้น
           1) ส่งเสริมทักษะทางการเงิน (Financial Literacy) กล่าวคือ ไม่ว่าจะเป็นคนทำงานทั้งในหรือนอกระบบ ก็ควรส่งเสริมให้มีทักษะวางแผนการออมเงินเพื่อแนวทางในวัยเกษียณ หากเป็นการทำงานนอกระบบ อาจเริ่มจากการเข้าร่วมกองทุนการออมแห่งชาติ ส่วนผู้ที่ทำงานในระบบ อาจมีการเก็บออมในรูปแบบอื่นเพิ่มเติมที่นอกเหนือจากภาคบังคับ
           2) การส่งเสริมให้ผู้สูงอายุมีงานทำ กล่าวคือ กรณีผู้สูงอายุที่ยังต้องการทำงานอยู่ อาจส่งเสริมโดยการเพิ่มทักษะแรงงานผู้สูงอายุ ประกอบกับการนำงานเชิงรุกที่ตรงกับความต้องการของนายจ้างมาให้ เพื่อให้เกิดแรงจูงใจในการทำงาน และมีค่าตอบแทนที่เหมาะสม สามารถเก็บออมรายได้สำหรับให้ตัวเองไว้ใช้ และเพื่อช่วยผ่อนภาระให้กับหัวหน้าครอบครัวที่เป็นวัยทำงานได้อีกทางหนึ่ง
           3) การใช้บริการผู้ช่วยดูแล (Care Assistant) และเทคโนโลยีในการดูแลสมาชิกในครัวเรือน กล่าวคือ กรณีของครอบครัวที่มีรายได้สูงพอสมควร อาจช่วยลดภาระของวัยทำงานในการจ้างผู้ช่วยดูแลที่ผ่านการฝึกอบรม เพื่อมาช่วยดูแลผู้สูงอายุได้ หรือใช้เทคโนโลยีเข้าช่วย เช่น อุปกรณ์ Smart Home ต่าง ๆ ที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้กับผู้สูงอายุ กล้องอัจฉริยะ Wi-Fi (Smart Camera) เครื่องเซนเซอร์ตรวจจับความเคลื่อนไหว (Motion Sensor) ที่เชื่อมต่อกับโทรศัพท์ ให้วัยทำงานได้คลายความกังวลได้ เป็นต้น
           4) การสนับสนุนศูนย์ดูแลเด็กและผู้สูงอายุ กล่าวคือ อาจเป็นการให้สิทธิประโยชน์ทางด้านกฎหมายแก่ภาคเอกชน เพื่อกระตุ้นให้เกิดการขยายตัวของธุรกิจศูนย์ดูแลเด็กและผู้สูงอายุระหว่างวันเพิ่มขึ้นจากภาครัฐ เป็นการช่วยลดภาระให้กับวัยแรงงานในช่วงระหว่างวันได้ หรือหากเป็นศูนย์ดูแลเด็กและผู้สูงอายุของภาครัฐก็ควรมีงบประมาณสนับสนุนให้เกิดการปรับปรุงที่ดีขึ้นได้
           ฉะนั้น ครัวเรือนประเภท Sandwich Generation ควรมีทักษะสำคัญที่ช่วยให้การดำเนินชีวิตในรูปแบบนี้เป็นไปได้ง่ายขึ้น ได้แก่ การมีเป้าหมายในชีวิตและการวางแผนการเงิน ทักษะความรู้และการบริหารจัดการเงิน ทั้งในส่วนของการออมและการบริหารจัดการหนี้ การบริหารความเสี่ยงและป้องกันความเสี่ยง และการวางแผนเกษียณ

แหล่งข้อมูลอ้างอิง

ชญาดา จิรกิตติถาวร. (2567). ปรากฏการณ์ครอบครัว “แซนด์วิช เจเนอเรชั่น”. สืบค้นจาก

            https://policywatch.thaipbs.or.th/article/life-37

สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, กองพัฒนาข้อมูลและตัวชี้วัดสังคม. (2567). Sandwich Generation กับ

            การดูแลคนหลายรุ่น. สืบค้นจาก https://www.nesdc.go.th/download/Social/Social_Report/2567_article_q1_003.pdf

MBA magazine. (2566). ‘Sandwich Generation’ กลุ่มคนตรงกลางกับภาระหนักเพื่อเตรียมพร้อมส่งต่อทรัพย์สินท่ามกลาง

            วิกฤต. สืบค้นจาก https://mbamagazine.net/index.php/people/experience/item/8811-sandwich-generation

Thairath Money. (2567).  สะท้อนชีวิต Sandwich Generation “คนรุ่นเดอะแบก” ในมุมมองนักเศรษฐศาสตร์. สืบค้นจาก 

            https://www.thairath.co.th/money/business_marketing/executive_interviews/2776207

The Standard Wealth. (2567). Sandwich Generation: เดอะแบกยุคใหม่เหนื่อยหนักกว่าเดิม เพราะเศรษฐกิจไม่เป็นใจ 

            แม้ไม่มีลูกก็ใช่ว่าจะสบาย. สืบค้นจาก https://thestandard.co/sandwich-generation-the-new-gen/

WP (นามแฝง). (2561). ทำความรู้จัก “Sandwich Generation” วัยกลางคนผู้แบกภาระงาน-เงิน-ครอบครัว แต่มีอำนาจตัดสินใจ

            ซื้อสูง. สืบค้นจาก https://www.marketingoops.com/news/biz-news/sandwich-generation-middle-age-

            population/

แหล่งข้อมูลที่เกี่ยวข้อง

Pashazade, H., Maarefvand, M., Momtaz, Y. A. & Abdi, K. (2023). Sandwich Generation Issues and Challenges. 

            Iranian Rehabilitation Journal, 21(3): 379-380. Retrieved from https://kasets.art/yJyxjd

Rita, M. R., Nugrahanti, Y. W. & Nastiti, P. K. Y. (2024). The Sources and Effects of Retirement Planning: An 

            Empirical Study of Sandwich-Generation Employees in Indonesia. Media Ekonomi dan Manajemen,

            39(2): 317-333. Retrieved from https://kasets.art/MJqHhY

Salsabilla, A., Krisnandi, H. & Digdowiseiso, K. (2024). The Effect of Sandwich Generation (Work Psychological, 

            Time Management and Work Commitment). International Journal of Social Service & Research 

            (IJSSR), 4(1): 202-210. Retrieved from https://kasets.art/vFsLGm

Sheridan, M. (2023). Gen Z: Why Colleges Need to Support the ‘Sandwich Generation’. Diverse: Issues in 

            Higher Education. 40(12): 11. Retrieved from https://kasets.art/a0iCEI

Syufa'at, S., Zaidi, S. M. S. & Mutholaah, M. (2023). Sandwich Generation in Contemporary Indonesia: 

            Determining Responsibility in Caring for Elderly under Islamic Law and Positive Law. Al-Manahij: Jurnal 

            Kajian Hukum Islam, 17(2): 167-182. Retrieved from https://kasets.art/tFzze7

Yuliana, S. (2021). Comparison of Child Health between Sandwich Generation and Non-Sandwich Generation. 

            Populasi, 29(1): 33-51. Retrieved from https://kasets.art/4d95vW

 

ดวงพร อรัญญพงษ์ไพศาล | 21/10/2567 | 12 | share : , ,
แบบประเมิน